วันศุกร์, เมษายน 19, 2024
Latest:
ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาพระนครศรีอยุธยา
ข่าวประชาสัมพันธ์ความรู้ทั่วไปบทความสุขภาพ

แสง UV ฆ่าเชื้อไวรัสได้จริงหรือ

(นางสาวปรางค์แก้ว  แหลมสุข)
นักวิชาการวิทยาศาสตร์ศึกษา

          เนื่องด้วยในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นทั้งในประเทศไทยของเราเอง หรือจากทั่วทุกมุมโลก ล้วนกำลังประสบกับปัญหาโรคระบาดจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19)  ซึ่งเป็นเชื้อโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ที่มีความรุนแรงมาก ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของทางด้านสุขภาพ ซึ่งก่อให้เกิดผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากในหลายประเทศ นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อทางภาคเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนเดือดร้อน
กันอย่างถ้วนหน้า ทำให้ทางภาครัฐต้องเข้ามามีส่วนในการช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อช่วยควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อ และหาทางในการยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อโรค รวมทั้งคิดค้นหาวิธีการในการกำจัดเชื้อโรคดังกล่าว

          โดยธรรมชาติแล้วแสงจากดวงอาทิตย์จะประกอบด้วยแสง UV 3 ชนิด ชนิดแรกคือ ยูวีเอ (UVA)
เป็นแสงยูวีที่ส่องมาถึงพื้นผิวโลกมากที่สุด โดยแสง UVA สามารถทะลุผ่านผิวหนังของมนุษย์ จึงเป็นสาเหตุ
ในการทำให้เกิดการสูงวัยของผิวถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะเป็นรอยเหี่ยวย่นหรือจุดด่างดำบนผิว ชนิดที่สอง คือ ยูวีบี (UVB) เป็นแสงที่สามารถทำอันตรายต่อดีเอ็นเอในผิวหนังมนุษย์ได้ โดยแสง UV ชนิดนี้เป็นสาเหตุของอาการผิวไหม้หรือแม้แต่การเกิดมะเร็งผิวหนัง ซึ่งผลกระทบจากสองสิ่งนี้เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงต้อง
ทาครีมกันแดดเวลาอยู่กลางแจ้ง อีกทั้งไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบด้วยว่า UVA ก็สามารถทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้เช่นกัน และสุดท้าย คือแสง ยูวีซี (UVC) เป็นแสงที่มีความยาวคลื่นสั้นและมีพลังงานมากที่สุด โดยเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทุกประเภท แม้กระทั่งไวรัสขนาดเล็ก อย่างไรก็ตาม ความโชคดีของมนุษย์จะไม่ได้รับผลกระทบจาก UVC เนื่องจากแสง UVC ถูกสกัดและกรองออกไปในชั้นบรรยากาศโดยโอโซนก่อนที่จะเดินทางมาถึงโลกและผิวของเรา

          ช่วงคลื่นที่ตามองเห็น และช่วงคลื่นรังสีอินฟราเรด จะสามารถเข้าสู่ผิวหนังของมนุษย์ได้ แต่จะไม่
ถูกดูดซับไว้จึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ แต่รังสีอัลตราไวโอเลตเอ และบี (UVA), (UVB) สามารถเข้าสู่ผิวหนัง และถูกดูดซับไว้ โดยรังสี UVA จะเข้าสู่ผิวหนังลึกสุด และดูดซับมากกว่ารังสี UVB ซึ่งรังสี UVB
มีค่าพลังงานมากกว่ารังสี UVA มีผลสามารถทำลายดีเอ็นเอ (DNA) และเกิดมะเร็งส่วนผิวหนังได้ รังสี UVA
ถึงแม้จะมีระดับพลังงานที่ต่ำกว่า แต่ยังสามารถแทรกสู่ผิวได้ลึกกว่า หากสัมผัสในระยะเวลานาน และต่อเนื่องจะทำให้เซลล์ผิวหนังอ่อนล้า เสื่อมเร็ว แลดูเหี่ยวย่น จนถึงระดับรุนแรงที่อาจเกิดเป็นเซลล์มะเร็งขึ้นได้

          รังสี UV หากได้รับในระดับต่ำจะมีประโยชน์ต่อการสร้างวิตามินดี และช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของร่างกาย แต่หากได้รับในปริมาณมากเกินความเป็นประโยชน์จะมีผลต่อการทำลายระบบภูมิคุ้มกัน
การทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ ทำให้ผิวหนังแลดูเหี่ยวหยุ่นจนถึงขั้นระดับรุนแรงกลายเป็นเซลล์มะเร็ง
โดย ณ ปัจจุบันได้มีการคิดค้นวิธีที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการฆ่าเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19)  โดยผ่านการใช้รังสี UV หรืออัลตราไวโอเลตฉายลงบนวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อทำการฆ่าเชื้อโรค โดยพบว่ารังสี UVC นั้น ถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วงด้วยกัน คือ รังสี UVA, UVB และ UVC โดยช่วงของความยาวคลื่นที่เหมาะสำหรับการฆ่าเชื้อโรคได้ คือ ช่วง 200 – 313 nm ซึ่งจะสามารถฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อจุลินทรีย์
เช่น แบคทีเรีย ยีสต์ เห็ดและรา รวมถึงไวรัสชนิดที่เป็น DNA และ RNA ได้ โดยช่วงความยาวคลื่นดังกล่าวนี้จะครอบคลุมในช่วงของรังสี UVC และ UVB นั่นเอง ซึ่งความยาวคลื่นที่เหมาะสมที่สุดในการฆ่าเชื้อไวรัส
โคโรนา (COVID-19)   คือ ประมาณ 265 nm นั่นก็คืออยู่ในย่านของรังสี UVC โดยอ้างอิงจากสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ ทำให้เราสามารถนำรังสี UVC มาทำการฆ่าเชื้อดังกล่าวได้

           แต่ในขณะเดียวกันเมื่อมีประโยชน์ก็ต้องมีโทษเช่นเดียวกัน เนื่องจากรังสี UV อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็นอันตรายต่อผิวหนัง หรือดวงตา ทำให้ทุกครั้งที่มีการใช้งาน ควรจะต้องทำการป้องกันโดยการสวมชุด PPE ในกรณีที่เราใช้อุปกรณ์ที่ไม่ได้เป็นภาชนะปิด หรือมีการใส่ถุงมือหนาๆ เพื่อป้องกันอันตรายที่มีต่อผิวหนังเพราะรังสี UV อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้ และในส่วนของดวงตานั้นจะทำให้เกิดการอักเสบ
ที่ดวงตาได้ และอาจส่งผลทำให้ตาบอดได้ ดังนั้น จึงจำเป็นจะต้องมีการใส่แว่นตากันแสง เพื่อป้องกันดวงตาของเรา การรับรังสีอัลตราไวโอเลตมากเกินควร ก่อให้เกิดอันตรายกับระบบต่าง ๆ ของร่างกายได้ รังสีอัลตราไวโอเลตในช่วง UVC มีพลังงานสูงที่สุด และที่สำคัญคืออันตรายที่สุด แต่พบได้น้อย เพราะบรรยากาศกรองเอาไปหมดแล้ว

         ที่สำคัญก็คือ ก่อนนำอุปกรณ์ฉายรังสี UVC มาใช้งานนั้น ควรมีการตรวจสอบคุณภาพอุปกรณ์ก่อนการใช้งานว่าอุปกรณ์นั้นผ่านมาตรฐานหรือไม่ เนื่องจากหลอดรังสี UVC นั้น เราไม่สามารถทราบถึงระดับความเข้มของรังสีได้ด้วยตาเปล่า ดังนั้น จึงจำเป็นจะต้องมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจสอบปริมาณความเข้มของรังสี UVC และคุณภาพของการใช้งานผ่านการตรวจวัดด้วยเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน เครื่องมือเหล่านี้จะผ่านการสอบเทียบด้วยกระบวนการที่ถูกต้องเหมาะสมก่อนการใช้งาน ทำให้มั่นใจได้ว่าเครื่องฉายรังสีที่เรานำมาใช้งานนั้นมีความปลอดภัย และมีปริมาณความเข้มของรังสี UVC ที่เหมาะสม ไม่เกินปริมาณที่กำหนดอันส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้งานได้  กล่าวโดยสรุปคือ เรายังไม่สามารถรู้ได้ว่า การใช้แสง UV เพื่อฆ่าเชื้อ COVID-19
ต้องใช้ระยะเวลานานเท่าไร และมีความเข้มข้นขนาดไหนในแต่ละสภาพพื้นผิว รวมถึงปัจจัยต่างๆ อย่างสภาพภูมิอากาศ ฤดูกาล และสถานที่  อีกทั้งการใช้รังสี หรือแสงอาทิตย์ฆ่าเชื้อบนผิวมนุษย์อาจจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดี โดยเฉพาะมะเร็งผิวหนังที่อาจเกิดขึ้นกับคุณนั่นเอง

แหล่งที่มา : https://www.scimath.org/

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *