“Energy Storage” ระบบไฟฟ้าแห่งอนาคต

422 views

     นางสาวพิศสมัย คล้ายอุบล
นักวิชาการวิทยาศาสตร์ศึกษา

การกักเก็บพลังงานช่วยให้มนุษย์สามารถสร้างความสมดุลของอุปสงค์และอุปทานในการใช้พลังงาน ซึ่งระบบกักเก็บสะสมพลังงานเชิงพาณิชย์นั้น สามารถแบ่งออกเชิงกว้าง ได้แก่ แบบกลไก แบบไฟฟ้า แบบชีวภาพ แบบไฟฟ้าเคมี แบบอุณหภูมิ และแบบเคมี

การพัฒนาเทคโนโลยีการกักเก็บพลังงาน จากระบบกักเก็บพลังงานที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่มีศักยภาพเพียงพอ ทำให้ไม่สามารถเก็บสะสมพลังงานส่วนเกินจากที่ผลิตได้ แล้วนำมากักเก็บสำรองไว้ใช้ในยามที่พลังงานหมุนเวียนไม่สามารถทำงานได้ เช่นพลังงานแสงอาทิตย์ ไม่สามารถทำได้ช่วงเวลากลางคืน

บทบาทสำคัญของระบบแหล่งกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) ในระบบไฟฟ้าแห่งอนาคต จะช่วยเพิ่มความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้าให้มากขึ้น ถึงแม้ว่าปัจจุบัน ต้นทุนการผลิตยังมีราคาสูง แต่ในอนาคตหากมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยี และเข้าสู่การดำเนินงานเป็นแบบธุรกิจ จะทำให้ต้นทุนต่ำลดลง และส่งผลให้ค่าไฟลดลงตามไปด้วย อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้าให้มากขึ้น เพราะจะสามารถคาดการณ์การ และวางแผนการใช้พลังงานหมุนเวียนได้อย่างถูกต้องแม่นยำมากขึ้น

ประเทศไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ศึกษา และเริ่มนำระบบกักเก็บพลังงานโดยแบตเตอรี่มาใช้ในระบบไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน และเสริมสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้า โดยเฉพาะในจุดผลิต และส่งจ่ายไฟฟ้า ประกอบด้วย 3 โครงการ คือ

1. โครงการติดตั้งแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน (ได้รับการอนุมัติโครงการแล้ว) กำลังไฟฟ้า 4 เมกะวัตต์ (ความจุ 1 MWh) ที่ช่วยจ่ายไฟฟ้าเลี้ยงระบบไฟฟ้าของแม่ฮ่องสอนทั้งจังหวัดได้นาน 15 นาที โครงการนี้จะติดตั้งอยู่ข้างกับโครงการเซลล์แสงอาทิตย์ที่จะติดตั้งในพื้นที่เพิ่มอีก 3 เมกะวัตต์ (รวมกำลังการผลิตจากเซลล์แสงอาทิตย์ในพื้นที่ทั้งหมดเป็น 3.5 เมกะวัตต์) โดยการเลือกติดตั้งใน จ.แม่ฮ่องสอน เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ไม่มีสายส่งแรงสูงรองรับ ทำให้เกิดไฟตก ไฟดับบ่อยครั้ง

2. สถานีไฟฟ้าแรงสูงบำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ (อยู่ระหว่างการอนุมัติโครงการ) กำลังไฟฟ้า 16 เมกะวัตต์ (ความจุ 16 MWh)

3. สถานีไฟฟ้าแรงสูงชัยบาดาล จ.ลพบุรี (อยู่ระหว่างการอนุมัติโครงการ) กำลังไฟฟ้า 21 เมกะวัตต์ (ความจุ 21 MWh) สำหรับการติดตั้งแบตเตอรี่อีก 2 โครงการของ กฟผ. นั้น จะติดตั้งอยู่ในบริเวณของสถานีไฟฟ้าแรงสูงในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย ซึ่งสาเหตุที่เลือกพื้นที่ดังกล่าวนั้น เนื่องจากว่า เป็นพื้นที่ที่มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจำนวนมาก และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2563 ประเมินว่า จ.ชัยภูมิ จะมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียน 218.2 เมกะวัตต์ ส่วน จ.ลพบุรี จะมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนจะอยู่ที่ 301.2 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ แบตเตอรี่กักเก็บพลังงานดังกล่าวจะทำงานร่วมกับระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ หรือสมาร์ทกริด ที่ กฟผ. จะใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เข้ามาช่วยจัดการไฟฟ้าในพื้นที่ให้สามารถจ่ายไฟฟ้าได้ต่อเนื่อง และมีเสถียรภาพ ที่ประเมินว่า จะช่วยลดเวลาในการเกิดไฟดับเหลือน้อยกว่า 500 นาที/ปี จากเดิมที่สูงถึง 2,614 นาที/ปี

“แบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน” หรือ Battery Energy Storage จึงนับว่ามีความสำคัญ และสอดคล้องกับในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น เพราะแบตเตอรี่ ใช้พื้นที่น้อยกว่า และสามารถติดตั้งได้ทั้งในบริเวณจุดจ่ายไฟฟ้า จุดผลิต และส่งไฟฟ้า ตามวัตถุประสงค์การใช้งานที่หลากหลาย เช่น ช่วยลดความผันผวนของพลังงานทดแทน เป็นแหล่งกักเก็บพลังงานในช่วงความต้องการไฟฟ้าต่ำ และจ่ายไฟฟ้าในช่วงความต้องการไฟฟ้าสูง ช่วยควบคุมและรักษาความถี่ของไฟฟ้าให้อยู่ในเกณฑ์ ช่วยจัดการความหนาแน่นของระบบส่ง หรืออาจกล่าวง่ายๆ ได้ว่าช่วยบริหารจัดการสายส่งให้สามารถนำไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

แหล่งที่มา :      https://thematter.co/science-tech/10-emerging-technologies-2019/80341

https://tr.nec.com/en_TR/global/environment/energy/nec_aes/index.html

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น